นโยบายต่างประเทศสมัยประยุทธ์
อาจเร็วเกินไปที่จะวิเคราะห์ถึงนโยบายต่างประเทศภายใต้รัฐบาลทหารของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาเพราะนับตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อวันที่22
พฤษภาคมนั้น มาวันนี้ เวลาได้ล่วงเลยผ่านมาเพียง 6 เดือนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม
ได้มีความเคลื่อนไหวทางการทูตอย่างมากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ซึ่งสามารถเป็นดัชนีชี้วัดถึงทิศทางนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลประยุทธ์ได้อย่างดี
บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงทิศทางนโยบายต่างประเทศนั้นๆ
และสิ่งที่เป็นความมุ่งหวังสูงสุดของรัฐบาลชุดนี้
อาจกล่าวได้ว่า ไทยไม่มีนโยบายต่างประเทศที่เป็นรูปธรรมนับตั้งแต่รัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณ
ชินวัตร ได้สิ้นสุดลงในปี 2549 จากนั้นมา รัฐบาลชุดต่อๆ
มาได้ตกอยู่ในหลุมของวิกฤตการเมืองภายในประเทศ
จนไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะใช้ในการลงทุนด้านการต่างประเทศมากนัก
งานส่วนใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศเป็นเพียงแค่การอธิบายให้ต่างชาติเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเมือง
มากกว่าที่จะคิดค้นนโยบายต่างประเทศใหม่ๆ
การเปลี่ยนรัฐบาลอย่างรวดเร็วในหลายปีที่ผ่านมา
เป็นส่วนที่นำไปสู่การขาดช่วงของนโยบายต่างประเทศ นอกจากนี้
รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศต่างมีจุดยืนทางด้านการเมืองต่างกัน
ส่งผลให้นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลแต่ละสมัยนั้นอาจจะมีความขัดแย้งกันด้วยซ้ำ
ในยุคปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน รัฐบาลของ
พล.อ.ประยุทธ์ยังคงถูกเงื่อนไขของการเมืองภายในเป็นตัวกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้นโยบายภายในประเทศแต่อย่างใด
โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์นี้
และในยุคที่ไทยกลายมาเป็นตัวแสดงหนึ่งที่สำคัญในภูมิภาค
สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยจึงต้องส่งผลกระทบต่อภูมิภาคอย่างแน่นอน ในส่วนนี้
รัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้นโยบายต่างประเทศเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความชอบธรรมให้กับ
คสช. ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยอมรับระบอบทหารของประยุทธ์ได้ในเวทีระหว่างประเทศ
หลังจากรัฐประหารเกิดขึ้นไม่นาน
ชาติตะวันตกที่เป็นพันธมิตรกับไทยจำนวนหนึ่งได้ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรแบบอ่อน (soft
sanctions) ในการลงโทษประเทศไทย
พร้อมกับต้องการสร้างความกดดันรัฐบาลทหารให้คืนอำนาจสู่ประชาชนอย่างรวดเร็วเพื่อนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งเริ่มจากประเทศพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของไทยนั่นคือสหรัฐอเมริกาซึ่งนายจอห์น
แคร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศ
ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลใจต่อสถานการณ์ทางการเมือง
และเรียกร้องให้ไทยสถาปนาระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว
ในโอกาสนี้สหรัฐได้ยกเลิกความร่วมมือที่มีต่อกองทัพไทย
และยุติเงินช่วยเหลือที่มีมูลค่า 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
พร้อมกับยุติการเชิญไทยเข้าร่วมในการประชุม RIMPAC หรือ
The Rim of the Pacific Exercise ที่เป็นการร่วมซ้อมรบทางทะเลร่วมกับนานาชาติในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
อย่างไรก็ตามสหรัฐยังไม่ประกาศแน่ชัดว่าจะยกเลิกการฝึกซ้อมรบCobra
Gold กับไทยหรือไม่
ซึ่งการซ้อมรบในกรอบนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก
เป็นกรอบการซ้อมรบที่มีความเป็นมายาวนานที่สุดในภูมิภาคนี้
ที่มีทั้งทหารไทยและสหรัฐเข้าร่วมกว่า 13,000 คน ขณะเดียวกันสหภาพยุโรปได้ตอบโต้การทำรัฐประหารด้วยการยุติความร่วมมือที่มีอยู่กับไทยทั้งหมด
รวมถึงการเจรจาในข้อตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีสหภาพยุโรป-ไทย
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายการเติบโตทางธุรกิจของไทยในยุโรป ทางด้านออสเตรเลียนั้น
ก็ได้ออกมาตรการใกล้เคียงกัน และได้ประกาศห้ามการเดินทางของผู้นำ
คสช.ไปยังออสเตรเลีย
หากวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งจะพบว่า
การคว่ำบาตรส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในโลกนั้น
ให้ผลทางเชิงสัญลักษณ์มากกว่าผลที่จะเกิดขึ้นจริงทั้งด้านการเมืองและตัวเลขทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ได้มองการคว่ำบาตรเหล่านั้นด้วยความกังวลใจ
เพราะมีความเกี่ยวโยงกับการสร้างความชอบธรรมของรัฐบาลทั้งในเวทีระหว่างประเทศ
รวมถึงความชอบธรรมที่จะต้องสร้างในสังคมไทยเช่นเดียวกัน ดังนั้น
แม้รัฐบาลจะได้ประกาศว่า
ไทยอาจต้องลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามท่ามกลางการคว่ำบาตรเหล่านี้ แต่แท้ที่จริง
ไทยก็ต้องการแสดงให้เห็นว่า ไทยก็แคร์สายตานานาชาติเช่นกัน
ดังปรากฏให้เห็นจากการประกาศเรียกผู้เห็นต่างมารายงานตัวและกักขังตัวไว้เพียง 7
วันก่อนที่จะปล่อยตัวไป (อย่างไรก็ดี
ยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่มีการรายงานเกี่ยวกับการถูกกักขังนานกว่า 7 วัน)
ขณะเดียวกัน
รัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้ยุทธศาสตร์ทางการทูตในการสร้างตัวเลือกทางนโยบายใหม่ๆ
ที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับสหรัฐหรือสหภาพยุโรปแต่เพียงอย่างเดียว
ในบรรดาตัวเลือกใหม่นี้ จีนมีความสำคัญมากที่สุด
ทั้งในแง่การเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดและการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ในภูมิภาค (Rise
of China) ยังไม่รวมถึงการที่จีนได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจของไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
จึงไม่แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจีน
เพื่อเป็นการลดแรงกดดันจากโลกตะวันตก นับจากรัฐประหารไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ได้พบปะกับนักธุรกิจจีน
ได้ส่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปสานสัมพันธ์กับจีน
หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์เองที่ได้มีโอกาสหารือกับผู้นำระดับสูงของจีน
จนนำไปสู่ข้อตกลงความร่วมมือในการสร้างรถไฟความเร็วสูงในไทย
นอกไปจากจีนแล้ว ไทยยังต้องการเล่นไพ่อาเซียน
โดยการต้อนรับและไปเยือนแขกสำคัญจากประเทศอาเซียน ทั้งจากพม่าและกัมพูชา ขณะที่
พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้เดินทางไปเยือนทั้งสองประเทศแล้วเช่นกัน ในกรณีของพม่านั้น
ปัจจุบันพม่าเป็นประธานของอาเซียน และพม่าเองก็กำลังอยู่ในกระบวนการเปิดประเทศและปฏิรูปการเมือง
เพื่อที่จะนำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์มองเห็นความสำคัญนี้
ในการเอาไทยเข้าไปอยู่ใน spotlight ของพม่า
ที่กำลังได้รับการจับจ้องจากประชาคมโลก
เพื่อต้องการสื่อสารว่าไทยกำลังเดินอยู่ในกระบวนการเดียวกับพม่าเช่นกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทหารออกมานำการสร้างประชาธิปไตย
แต่กลยุทธ์นี้อาจไม่ส่งผลดีต่อไทยนักเพราะในช่วงปีที่ผ่านมาพม่าก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเรื่องความล่าช้าในการปฏิรูปและความไม่จริงใจของกองทัพพม่าในการเปิดให้มีการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเสรี
ในส่วนการเยือนกัมพูชานั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
ถือว่าเป็นเกมที่มีความสำคัญต่อประยุทธ์และต่อนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชาเช่นเดียวกัน
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น
ตั้งแต่เรื่องปราสาทเขาพระวิหารและปัญหาพรมแดนทางบกและทะเล
รวมไปถึงความหวาดระแวงของไทยต่อรัฐบาลกัมพูชาในการโอบอุ้มคนเสื้อแดง
ปัจจัยเหล่านี้ได้สร้างโอกาสให้ประยุทธ์ในการลดความระแวงที่มีอยู่
(แม้จะชั่วคราวก็ตาม) โดยการเสนอให้มีการปรับความสัมพันธ์
ซึ่งจะส่งผลดีต่อความมั่นคงตามแนวชายแดน
รัฐบาลประยุทธ์ไม่สามารถที่จะสร้างสงครามกับกัมพูชาในช่วงที่ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงอยู่
ทางด้านกัมพูชานั้น
ฐานเสียงที่สั่นคลอนของฮุนเซนอาจเป็นเหตุผลหลักของการปรับความสัมพันธ์กับไทย
เช่นเดียวกันคือการสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน ทั้งนี้
ฮุนเซนจำเป็นต้องปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมทางการเมืองใหม่ของไทยด้วย
แม้หลายคนจะเชื่อมั่นว่า กัมพูชาสามารถที่จะพลิกนโยบายที่มีกับไทยได้ทุกเวลา
หากว่าการพลิกผันนั้นจะสามารถสร้างผลประโยชน์กับรัฐบาลฮุนเซนได้
แต่นโยบายเหล่านี้คือจุดยืนของรัฐบาลประยุทธ์ในการค้นหาความชอบธรรมของระบอบทหารในระดับภูมิภาค
เพื่อคานสมดุลกับการคว่ำบาตรของตะวันตก ความชอบธรรมนั้นมีความสำคัญอย่างมาก
เพราะการคว่ำบาตรจากตะวันตกอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทย
ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจของโลก ในฐานะที่ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญๆ
อาทิ ข้าว รถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
การลงโทษของตะวันตกอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ชาวไทยจำนวนหนึ่งอาจได้รับผลกระทบนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นต่อ
คสช.และอาจนำไปสู่วิกฤตความชอบธรรมได้ ดังนั้น
การคว่ำบาตรจากนานาชาติจึงมีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับระดับความพอใจ (หรือไม่)
ของประชาชนต่อรัฐบาลประยุทธ์ ยุทธวิธีหนึ่งที่ต้องการลดความเสี่ยงนี้ก็คือ
การโอนเอียงไปหาจีนและการปรับความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน
แต่นโยบายเหล่านี้จะยั่งยืนหรือไม่คงต้องรอดูต่อไป
ตะวันตกอาจไม่ยกระดับการคว่ำบาตร เพราะประเทศอย่างสหรัฐก็กังวลใจเช่นกันว่า
การเหินห่างจากไทยจะเป็นการทำให้จีนเข้ามาเพิ่มอิทธิพลในไทยและในภูมิภาคมากขึ้น
ตัวแปรจึงน่าจะอยู่ที่ตัวแสดงในภูมิภาคนี้เอง แม้จีนจะต้องการให้ความร่วมมือกับ
คสช. แต่จีนก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลชินวัตร
ดังเห็นได้จากการต้อนรับที่อบอุ่นเมื่อคราวที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์ไปเยือนจีน
ส่วนประเทศในอาเซียนนั้น แม้จะมีนโยบายการไม่แทรกแซงกิจการภายในกัน แต่ปีหน้า 2558
เป็นปีที่อาเซียนต้องการสร้างชุมชนที่ประสบความสำเร็จ
การเพิกเฉยต่อวิกฤตการเมืองในไทยอาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในระดับหนึ่ง
ทางออกของไทยต่อสถานการณ์เหล่านี้จึงน่าจะอยู่ที่การกลับคืนไปสู่ระบอบประชาธิปไตยได้เร็วมากน้อยเพียงใด
บทความโดยรศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มหาวิทยาลัยเกียวโต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น