วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

นโยบายการต่างประเทศในรัฐบาลปัจจุบัน

นโยบายต่างประเทศสมัยประยุทธ์
อาจเร็วเกินไปที่จะวิเคราะห์ถึงนโยบายต่างประเทศภายใต้รัฐบาลทหารของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาเพราะนับตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อวันที่22 พฤษภาคมนั้น มาวันนี้ เวลาได้ล่วงเลยผ่านมาเพียง 6 เดือนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ได้มีความเคลื่อนไหวทางการทูตอย่างมากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสามารถเป็นดัชนีชี้วัดถึงทิศทางนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลประยุทธ์ได้อย่างดี บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงทิศทางนโยบายต่างประเทศนั้นๆ และสิ่งที่เป็นความมุ่งหวังสูงสุดของรัฐบาลชุดนี้

อาจกล่าวได้ว่า ไทยไม่มีนโยบายต่างประเทศที่เป็นรูปธรรมนับตั้งแต่รัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ได้สิ้นสุดลงในปี 2549 จากนั้นมา รัฐบาลชุดต่อๆ มาได้ตกอยู่ในหลุมของวิกฤตการเมืองภายในประเทศ จนไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะใช้ในการลงทุนด้านการต่างประเทศมากนัก งานส่วนใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศเป็นเพียงแค่การอธิบายให้ต่างชาติเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเมือง มากกว่าที่จะคิดค้นนโยบายต่างประเทศใหม่ๆ การเปลี่ยนรัฐบาลอย่างรวดเร็วในหลายปีที่ผ่านมา เป็นส่วนที่นำไปสู่การขาดช่วงของนโยบายต่างประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศต่างมีจุดยืนทางด้านการเมืองต่างกัน ส่งผลให้นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลแต่ละสมัยนั้นอาจจะมีความขัดแย้งกันด้วยซ้ำ

ในยุคปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงถูกเงื่อนไขของการเมืองภายในเป็นตัวกำหนดนโยบายต่างประเทศ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้นโยบายภายในประเทศแต่อย่างใด โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์นี้ และในยุคที่ไทยกลายมาเป็นตัวแสดงหนึ่งที่สำคัญในภูมิภาค สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยจึงต้องส่งผลกระทบต่อภูมิภาคอย่างแน่นอน ในส่วนนี้ รัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้นโยบายต่างประเทศเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความชอบธรรมให้กับ คสช. ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยอมรับระบอบทหารของประยุทธ์ได้ในเวทีระหว่างประเทศ

หลังจากรัฐประหารเกิดขึ้นไม่นาน ชาติตะวันตกที่เป็นพันธมิตรกับไทยจำนวนหนึ่งได้ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรแบบอ่อน (soft sanctions) ในการลงโทษประเทศไทย พร้อมกับต้องการสร้างความกดดันรัฐบาลทหารให้คืนอำนาจสู่ประชาชนอย่างรวดเร็วเพื่อนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งเริ่มจากประเทศพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของไทยนั่นคือสหรัฐอเมริกาซึ่งนายจอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลใจต่อสถานการณ์ทางการเมือง และเรียกร้องให้ไทยสถาปนาระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว

ในโอกาสนี้สหรัฐได้ยกเลิกความร่วมมือที่มีต่อกองทัพไทย และยุติเงินช่วยเหลือที่มีมูลค่า 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกับยุติการเชิญไทยเข้าร่วมในการประชุม RIMPAC หรือ The Rim of the Pacific Exercise ที่เป็นการร่วมซ้อมรบทางทะเลร่วมกับนานาชาติในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก


อย่างไรก็ตามสหรัฐยังไม่ประกาศแน่ชัดว่าจะยกเลิกการฝึกซ้อมรบCobra Gold กับไทยหรือไม่ ซึ่งการซ้อมรบในกรอบนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เป็นกรอบการซ้อมรบที่มีความเป็นมายาวนานที่สุดในภูมิภาคนี้ ที่มีทั้งทหารไทยและสหรัฐเข้าร่วมกว่า 13,000 คน ขณะเดียวกันสหภาพยุโรปได้ตอบโต้การทำรัฐประหารด้วยการยุติความร่วมมือที่มีอยู่กับไทยทั้งหมด รวมถึงการเจรจาในข้อตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีสหภาพยุโรป-ไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายการเติบโตทางธุรกิจของไทยในยุโรป ทางด้านออสเตรเลียนั้น ก็ได้ออกมาตรการใกล้เคียงกัน และได้ประกาศห้ามการเดินทางของผู้นำ คสช.ไปยังออสเตรเลีย

หากวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งจะพบว่า การคว่ำบาตรส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในโลกนั้น ให้ผลทางเชิงสัญลักษณ์มากกว่าผลที่จะเกิดขึ้นจริงทั้งด้านการเมืองและตัวเลขทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ได้มองการคว่ำบาตรเหล่านั้นด้วยความกังวลใจ เพราะมีความเกี่ยวโยงกับการสร้างความชอบธรรมของรัฐบาลทั้งในเวทีระหว่างประเทศ รวมถึงความชอบธรรมที่จะต้องสร้างในสังคมไทยเช่นเดียวกัน ดังนั้น แม้รัฐบาลจะได้ประกาศว่า ไทยอาจต้องลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามท่ามกลางการคว่ำบาตรเหล่านี้ แต่แท้ที่จริง ไทยก็ต้องการแสดงให้เห็นว่า ไทยก็แคร์สายตานานาชาติเช่นกัน ดังปรากฏให้เห็นจากการประกาศเรียกผู้เห็นต่างมารายงานตัวและกักขังตัวไว้เพียง 7 วันก่อนที่จะปล่อยตัวไป (อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่มีการรายงานเกี่ยวกับการถูกกักขังนานกว่า 7 วัน)

ขณะเดียวกัน รัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้ยุทธศาสตร์ทางการทูตในการสร้างตัวเลือกทางนโยบายใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับสหรัฐหรือสหภาพยุโรปแต่เพียงอย่างเดียว ในบรรดาตัวเลือกใหม่นี้ จีนมีความสำคัญมากที่สุด ทั้งในแง่การเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดและการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ในภูมิภาค (Rise of China) ยังไม่รวมถึงการที่จีนได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจของไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จึงไม่แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจีน เพื่อเป็นการลดแรงกดดันจากโลกตะวันตก นับจากรัฐประหารไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ได้พบปะกับนักธุรกิจจีน ได้ส่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปสานสัมพันธ์กับจีน หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์เองที่ได้มีโอกาสหารือกับผู้นำระดับสูงของจีน จนนำไปสู่ข้อตกลงความร่วมมือในการสร้างรถไฟความเร็วสูงในไทย

นอกไปจากจีนแล้ว ไทยยังต้องการเล่นไพ่อาเซียน โดยการต้อนรับและไปเยือนแขกสำคัญจากประเทศอาเซียน ทั้งจากพม่าและกัมพูชา ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้เดินทางไปเยือนทั้งสองประเทศแล้วเช่นกัน ในกรณีของพม่านั้น ปัจจุบันพม่าเป็นประธานของอาเซียน และพม่าเองก็กำลังอยู่ในกระบวนการเปิดประเทศและปฏิรูปการเมือง เพื่อที่จะนำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์มองเห็นความสำคัญนี้ ในการเอาไทยเข้าไปอยู่ใน spotlight ของพม่า ที่กำลังได้รับการจับจ้องจากประชาคมโลก เพื่อต้องการสื่อสารว่าไทยกำลังเดินอยู่ในกระบวนการเดียวกับพม่าเช่นกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทหารออกมานำการสร้างประชาธิปไตย

แต่กลยุทธ์นี้อาจไม่ส่งผลดีต่อไทยนักเพราะในช่วงปีที่ผ่านมาพม่าก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเรื่องความล่าช้าในการปฏิรูปและความไม่จริงใจของกองทัพพม่าในการเปิดให้มีการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเสรี


ในส่วนการเยือนกัมพูชานั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ถือว่าเป็นเกมที่มีความสำคัญต่อประยุทธ์และต่อนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชาเช่นเดียวกัน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ตั้งแต่เรื่องปราสาทเขาพระวิหารและปัญหาพรมแดนทางบกและทะเล รวมไปถึงความหวาดระแวงของไทยต่อรัฐบาลกัมพูชาในการโอบอุ้มคนเสื้อแดง ปัจจัยเหล่านี้ได้สร้างโอกาสให้ประยุทธ์ในการลดความระแวงที่มีอยู่ (แม้จะชั่วคราวก็ตาม) โดยการเสนอให้มีการปรับความสัมพันธ์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความมั่นคงตามแนวชายแดน รัฐบาลประยุทธ์ไม่สามารถที่จะสร้างสงครามกับกัมพูชาในช่วงที่ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงอยู่ ทางด้านกัมพูชานั้น ฐานเสียงที่สั่นคลอนของฮุนเซนอาจเป็นเหตุผลหลักของการปรับความสัมพันธ์กับไทย เช่นเดียวกันคือการสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน ทั้งนี้ ฮุนเซนจำเป็นต้องปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมทางการเมืองใหม่ของไทยด้วย แม้หลายคนจะเชื่อมั่นว่า กัมพูชาสามารถที่จะพลิกนโยบายที่มีกับไทยได้ทุกเวลา หากว่าการพลิกผันนั้นจะสามารถสร้างผลประโยชน์กับรัฐบาลฮุนเซนได้

แต่นโยบายเหล่านี้คือจุดยืนของรัฐบาลประยุทธ์ในการค้นหาความชอบธรรมของระบอบทหารในระดับภูมิภาค เพื่อคานสมดุลกับการคว่ำบาตรของตะวันตก ความชอบธรรมนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะการคว่ำบาตรจากตะวันตกอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทย ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจของโลก ในฐานะที่ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญๆ อาทิ ข้าว รถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การลงโทษของตะวันตกอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ชาวไทยจำนวนหนึ่งอาจได้รับผลกระทบนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นต่อ คสช.และอาจนำไปสู่วิกฤตความชอบธรรมได้ ดังนั้น การคว่ำบาตรจากนานาชาติจึงมีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับระดับความพอใจ (หรือไม่) ของประชาชนต่อรัฐบาลประยุทธ์ ยุทธวิธีหนึ่งที่ต้องการลดความเสี่ยงนี้ก็คือ การโอนเอียงไปหาจีนและการปรับความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่นโยบายเหล่านี้จะยั่งยืนหรือไม่คงต้องรอดูต่อไป ตะวันตกอาจไม่ยกระดับการคว่ำบาตร เพราะประเทศอย่างสหรัฐก็กังวลใจเช่นกันว่า การเหินห่างจากไทยจะเป็นการทำให้จีนเข้ามาเพิ่มอิทธิพลในไทยและในภูมิภาคมากขึ้น ตัวแปรจึงน่าจะอยู่ที่ตัวแสดงในภูมิภาคนี้เอง แม้จีนจะต้องการให้ความร่วมมือกับ คสช. แต่จีนก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลชินวัตร ดังเห็นได้จากการต้อนรับที่อบอุ่นเมื่อคราวที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์ไปเยือนจีน ส่วนประเทศในอาเซียนนั้น แม้จะมีนโยบายการไม่แทรกแซงกิจการภายในกัน แต่ปีหน้า 2558 เป็นปีที่อาเซียนต้องการสร้างชุมชนที่ประสบความสำเร็จ การเพิกเฉยต่อวิกฤตการเมืองในไทยอาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในระดับหนึ่ง

ทางออกของไทยต่อสถานการณ์เหล่านี้จึงน่าจะอยู่ที่การกลับคืนไปสู่ระบอบประชาธิปไตยได้เร็วมากน้อยเพียงใด
 บทความโดยรศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยเกียวโต              
 วิวัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

อริสโตเติล ได้อธิบายว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและธรรมชาติของมนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นเหล่า มีการติดต่อระหว่างกัน ดำรงชีวิตภายใต้ระเบียบการปกครอง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อที่จะให้เป็นแบบแผนอันพึงปฏิบัติในการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคม
                ในอดีตเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ดินแดนที่จักว่าเป็นแหล่งที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองของโลก คือลุ่มแม่น้ำไนล์ ไทริส ยูเฟติส สินธุ และลุ่มน้ำเหลือง เป็นแหล่งที่มนุษย์ได้ดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ เช่นความร่วมมือในด้านการชลประทาน เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตทางการเกษตรกรรมและสิ่งอื่นๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ในระยะเริ่มแรก รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วขยายออกไปเป็นกลุ่มใหญ่ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาทางวัฒนธรรมและความคิดทางการเมืองภายในกลุ่ม จากนั้นก็มีการติดต่อระหว่างกลุ่มและนำไปสู่การมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องไป
                สมัยกรีก ในระหว่าง 200 – 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมคล้ายๆ กัน แต่นครรัฐต่าง ไม่ค่อยมีความร่วมมือกัน มีการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีกัน และทำสงครามกันบ่อยๆ ทำให้ขาดความสามัคคี ทำให้กรีกไม่สามารถต่อต้านภัยการรุกรานจากภายนอกได้ จึงได้ตระหนักถึงความจำเป็นของตนในการที่จะต้องมีสัมพันธไมตรีกับรัฐอื่น เพื่อตนจะได้รับผลประโยชน์บางอย่าง จึงเริ่มมีการกำหนดนโยบายของตนเองเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับอีกรัฐหนึ่ง และแต่งตั้งบุคคลของตนเป็นทูตทำหน้าที่เจราจรติดต่อกัน ในสมัยแรกๆ การเจราจรติดต่อในรูปการใช้ผู้ถือสาส์นระหว่างรัฐ ทำหน้าที่แจ้งข่าวของเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง ผู้ที่ได้รับการเจราจรติดต่อต้องเป็นบุคคลที่เป็นนักพูด มีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจคนในชาติอื่นๆ ให้เห็นกับนโยบาย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของตน
                สมัยโรมัน ระยะแรกได้เน้นกฎหมายระหว่างประเทศเป็นหลัก และคำนึงถึงของศิลปการติดต่อเจราจรใช้วิธีการติดต่อสัมพันธ์ ดังนี้
                                1. เป็นมิตรกับเผ่าชนใกล้เคียงด้วยการให้ความช่วยเหลือหรือยกยอ
                                2. ให้คนนอกศาสนาหันมานับถือศาสนาคริสต์
ต่อมาในระยะหลังได้หาข้อเท็จจริงและข่าวสารภายในประเทศ อื่น ระยะนี้ยังไม่มีการส่งทูตไปประจำถาวร เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15อิตาลีส่งทูตไปประจำที่ต่างๆ ส่วนกฎเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับตัวแทนของตนที่ไปประจำในอีกประเทศหนึ่งมามีอย่างจริงจังก็ต่อเมื่อหลังคริสต์ศตวรรษ 1815 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มมีการตกลงกันระหว่างนานาประเทศ ในช่วงระหว่าง ค.ศ.1815-1818 ประเทศต่างๆ ได้มีการประชุมกันที่นครเวียนนา มีการวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอันดับอาวุโสของตนแทนประเทศ
                สมัยโรมัน ประมาณราว 350 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ โรมันได้ขยายอำนาจของตนออกไปอย่างกว้างขวาง และสมารถครอบครองดินแดนต่างๆ เอาไว้ โดยใช้มาตรการรุนแรง ใช้กำลังปราบปรามได้มีการอกกฎหมาย วางกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ เพื่อบังคับใช้ภายในและใช้ในการติดต่อกับรัฐอื่น
                สมัยฟิวดัล ศริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นสมัยการใช้นโยบายการใช้กำลังเลือดและเหล็ก และได้ดำเนินเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 15 กษัตริย์มีฐานะเป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพ เพราะมีองค์การคริสต์ศาสนาสนับสนุนและอำนาจของกษัตริย์มีอยู่ในทางทฤษฎีเป็นส่วนใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในยุดนี้อยู่ในยุดมืด
                สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีการตื่นตัว การคิดค้นวิชาการต่างๆ มีศาสตร์ใหม่ๆ เกดขึ้นมากมาย
                ทางด้านศาสนา มีการเปลี่ยนแปลง เดิมพระสันตะปาปาเคยมีอำนาจมากและมักจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ได้ก่อนให้เกิดความไม่พอใจในหมู่กษัตริย์ มีการจัดตั้งศาสนานิกายใหม่ๆ ไม่ยอมรับอำนาจของพระสันตะปาปา ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนา พลังทางศาสนายังแฝงอยู่ในการเมืองในรูปศาสนาประจำชาติ มีการทำสงครามทางศาสนาระหว่างเจ้าผู้ครองนครต่างๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1618 ได้เกิดสงครามระหว่างพวกที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนท์ขึ้น สงครามได้ยุติลง ค.ศ. 1648 มีการทำสัญญาสงบศึกที่มีชื่อว่า สนธิสัญญา westphalia ช่วงเวลาการทำสงครามนานถึง 30 ปี  ผลจากสงคราม ได้ช่วยปูพื้นของการมีระบบรัฐสมัยใหม่ในยุโรป โดยลดฐานะจักรวรรคโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ( Holy Roman Empire ) ลงให้เท่าๆ กับดินแดนที่มีกษัตริย์ปกครองสมัยนั้น เช่น ฝรั่งเศส สเปน สวีเดน และอังกฤษ
                นอกจากนั้น ยังมีข้อตกลงในสนธิสัญญาเวสฟาเวีย เกี่ยวกับหลักการที่ว่า รัฐอธิปไตยที่เป็นเอกราชทั้งหลายเท่าเทียมกัน แสดงให้เห็นว่าอำนาจของสัตปาปาลดลง มีฐานะเพียงเจ้าผู้ครองนครรัฐ ซึ่งมีความผูกพันกับศาสนาและสนธิสัญญาดังกล่าว ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการวางกฎเกณฑ์ที่จะคุ้มครองประชาชนในยามสงคราม มีการกล่าวถึงการปฏิบัติต่อผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ นักโทษ ห้ามปล้น ห้ามทำลายศิลปวัตถุและการกระทำอื่นที่ไร้มนุษยธรรม
                ระบบรัฐในปี ค.ศ. 1648 ในขั้นแรกจำกัดอยู่ในยุโรป ต่อมาในปลาย ศตวรรษที่ 19 ได้แสวงหาอาณานิคมจนได้อาณานิคมมาครอบครองในภูมิภาคต่างๆ ดินแดนที่ถูกครอบครองได้รับวัฒนาธรรมและระบบต่างๆ ไปใช้ในรัฐของตน จึงทำให้เกิดความผูกพันหรือความสัมพันธ์กันขึ้นระหว่างประเทศผู้ครอบครองกับประเทศผู้ถูกครอบครอง
                การเปลี่ยนแปลงทางด้านความสัมพันธ์เริ่มเห็นชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงของสงคราม และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อมีการทำสงครามย่อมมีฝ่ายแพ้ ฝ่ายชนะ และมีประเทศที่เข้าข้างทั้งฝ่ายแพ้และฝ่ายชนะ ทั้งผู้แพ้และชนะต้องเหน็ดเหนื่อยบอบช้ำจากสงคราม ซึ่งส่งผลกระทบในทุกๆด้าน ทำให้ต่างก็หาวิธีที่จะป้องกันมิให้เกิดสงครามขึ้นในอนาคต มีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้น คือ สันนิบาตชาติ ซึ่งเป็นการแสดงออกซึ่งวัตถุประสงค์ร่วมกันในอันที่จะรักษาสันติภาพของโลกไว้ โดยทำสัญญา Kellog Briand Pact ได้กำหนดหลักการว่า ประเทศสมาชิกจะไม่ใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาระหว่างกัน
                ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงกำลังปฏิวัติระบบระหว่างประเทศ (ทศวรรษที่ 1990) เป็นที่น่าสังเกตได้ว่าสหภาพโซเวียตตั้งแต่เป็นอภิมหาอำนาจ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1945 และได้ล่มสลายลงในปี ค.ศ.1991 ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของโซเวียตกับกลุ่มบริวารและประเทศอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วย (การล่มสลายเกิดจากปัญหาสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และเชื้อชาติ)
                การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1947 เป็นปีที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต ได้มีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 ค่าย คือ ค่ายสหรัฐอเมริกา ที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย และสหภาพโซเวียต ที่มีการปกครองแบบสังคมคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผูกกับค่ายหนึ่งค่ายใดความช่วยเหลือก็จะให้ความช่วยเหลือเฉพาะประเทศที่อยู่ในค่ายของตนเอง เช่น การที่สหรัฐอเมริกาประกาศให้ความช่วยเหลือตามแผนทรูแมน โดยเจาะจงเฉพาะกรีก และตุรกีเป็นการสกัดกั้นการแผ่ขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียต และต่อมาสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแผนมาร์แชล เพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และประเทศที่ถูกคอมมิวนิสต์คุกคาม
                การที่ประเทศสหภาพโซเวียต ล่มสลายทำให้เกิดประเทศใหม่ขึ้นหลายประเทศ การดำเนินนโยบายประเทศเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกบีบบังคับ รัฐต่างๆ พยายามกำหนดแนวทางการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นตัวของตัวเอง
ประเทศมหาอำนาจพยายามสร้างความเชื่อถือให้บรรดาประเทศเล็ก เห็นว่าตนเองเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้  ประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทำให้หลายประเทศหันมาสร้างความสัมพันธ์ด้วย ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา  และในตะวันออกกลาง เช่น ประเทศซาอุดิอารเบีย อิหร่าน คูเวต และอีกหลายประเทศที่มีทรัพยากรน้ำมันมาก
                ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มีพลังหลายกระแสที่ไหลเข้ามา ส่งผลกระทบทำให้ระบบการเมืองระหว่างประเทศแบบเก่าต้องพังทลาย เช่น การพังทลายของระบบคอมมิวนิสต์มีสาเหตุจากพลังทางเศรษฐกิจและพลังลัทธิชาตินิยมยุดใหม่ ตลอดจนพลังของปัญหาต่างๆ ทำให้ระบบระหว่างประเทศเข้าสู่ระบบระหว่างประเทศแบบใหม่ ( New International System )
                อดีตประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ ได้เน้นถึงบทบาททางเศรษฐกิจว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของพลังอำนาจแห่งชาติ ทางด้านประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับเอกราชใหม่ๆ ก็ได้เน้นว่าเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ การยอมรับว่าเศรษฐกิจเป็นพลังสำคัญ เป็นผลรวมของเหตุการณ์
สหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น ได้ตระหนักว่า จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานและทรัพยากรประเภทสินแร่ และอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ทำให้ยุโรปตะวันตกสร้างสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน ( Economic and Monetary Union ) ขึ้น
จะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจมีควาสำคัญเท่ากับทหาร น้ำมันเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งสองอย่างมีความเชื่อมโยงกัน การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านการค้าทำให้รัฐในภูมิภาคต่างๆ ของแต่ละภูมิภาคมารวมกลุ่มกัน  พยายามผลักดันให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรี ( Free Trade Area ) ทำให้มีการเจราจรระหว่างประเทศขึ้น เช่น ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น แต่ละรัฐสนับสนุนเขตการค้าเสรี ซึ่งจะส่งผลให้การผลิตเพิ่มขึ้น ค่าจ้าง แรงงานเพิ่มขึ้น และราคาสินค้าลดลง และเมื่อมีการแข่งขันระหว่างภูมิภาคต่างๆ อาจส่งผลทำให้เกิดสงครามทางการค้า ( Trade Wars )
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน แบ่งออกได้ 4 ระยะ
                ระยะที่ 1 ระยะก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการศึกษาค้นค้าวหาหลัดฐานทางประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์อย่างแท้จริง ทำให้การศึกษาความสัมพันธ์มีความถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด
                ระยะที่ 2 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ มุ่งศึกษาถึงเหตุการณ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ๆ แต่มิได้มีการพิจารณาศึกษาถึงปัญหาทางการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในการทำให้เกิดสงครามหรือสันติภาพ
ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มีการศึกษาถึงสถาบันระหว่างประเทศ เช่น ทูตและกงสุล ควบคุมกับการศึกษากฎหมายระหว่างประเทศ และการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศตลอดจนศึกษาความคิดในเรื่องดุลแห่งอำนาจ
ระยะที่ 4 ระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปัจจุบัน การศึกษาได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับ เริ่มการศึกษาเรื่องกำลังและอิธิพลต่างๆ ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรม มีการศึกษาปรับปรุงข้อขัดแย้งต่างๆ ศึกษาเรื่องการดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและผลประโยขน์ของชาติ ตลอดจนทำการศึกษาสิ่งแวดล้อมทางการเมืองที่มีอิทธิพลต่อกฎหมายการเมืองระหว่างประเทศ
ปัจจุบันการศึกษาได้มุ่งเน้นในเรื่องการวิจัยพฤติกรรมระหว่างประเทศโดยอาศัยสถิติ ตัวเลข และการทดสอบ ผลคือทำให้มีการสร้างทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น
การสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
                การตัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นวิธีการเตือนอย่างหนึ่งของรัฐต่อการกระทำของรัฐอื่น ที่ทำให้ตนเองไม่พอใจ เช่น ปี ค.ศ.1908 สหรัฐอเมริกาตัดความสัมพันธ์กับเวเนซุเอลา และในปี ค.ศ.1909 ตัดความสัมพันธ์กับนิการากัว และอังกฤษได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับโซเวียต ในปี ค.ศ. 1927 ซึ่งอังกฤษได้กล่าวหาว่ารัสเซียได้กระทำการโฆษณาเป็นปฏิปักษ์กับอังกฤษ หรือกรณีที่ประเทศชิลีไล่ผู้แทนทางการทูตของยูโกสลาเวียออกนอกประเทศเนื่องจากว่าได้มีการยุยงให้เกิดการนัดหยุดงานในปี ค.ศ. 1947 ยูโกสลาเวียจึงประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับชิลี
                การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตไม่ผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากประกาศความสัมพันธ์ทางการทูตแล้วจะต้องมีการประกาศยกเลิกสนธิสัญญาที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้มีพันธะต่อกัน
                บางครั้งความไม่พอใจที่เกิดขึ้นนั้นถึงขั้นรุนแรง ประเทศที่ไม่พอใจอาจจะประกาศสงครามต่อรัฐคู่กรณี จึงเป็นอันว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐทั้งสองสิ้นสุดลง


บทความโดย 
ลักษณะการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ

 แบ่งออกเป็น
   3.1 ความสัมพันธ์ทางด้านการเมือง ซึ่งจะแสดงออก ในลักษณะของการติดต่อสัมพันธ์กัน ในเชิงการทูตการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรระหว่างกัน ทั้งในเวทีการเมืองระหว่างประเทศระดับโลกและระดับภูมิภาค (ทั้งนี้การเป็นพันธมิตรจะมีรูปแบบในการดำเนินการได้หลากหลายรูปแบบ)  การแสดงออกซึ่งการสนับสนุน หรือการไม่สนับสนุนนโยบาย หรือการดำเนินการของประเทศที่ไทยไปมีความสัมพันธ์ด้วยในรูปแบบต่างๆ
3.2 ความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ   ซึ่งจะครอบคลุม ในเรื่องของการค้า  การลงทุน 
การให้ความช่วยเหลือในทางเศรษฐกิจ  การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ  การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของไทยที่ส่งผลกระทบต่อประเทศที่ไทยไปมีความสัมพันธ์ด้วย  หรือ  การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศที่ไทยไปมีความสัมพันธ์ด้วย    ซึ่งผลกระทบต่อประเทศไทย
3.3 ความสัมพันธ์ทางด้านการทหาร  แสดงออกให้เห็นเป็นรูปธรรมในลักษณะของการเป็นพันธมิตรทางทหาร  การช่วยเหลือสนับสนุนกันทางด้านกองกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งในรูปของการแลกเปลี่ยนซื้อขายอาวุธระหว่างกัน  การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางการทหาร 
การร่วมฝึกซ้อมรบ เป็นต้น
3.4 ความสัมพันธ์ทางด้านสังคมและวัฒนธรรม  อาจจะพิจารณาได้จากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน  การให้ความช่วยเหลือทางด้านสังคมในมิติต่างๆ เช่น  การให้ทุนการศึกษา  การร่วมมือทางวิชาการ  การให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนกันทางด้านสาธารณสุข  กฎหมาย  สิทธิมนุษยชน  การรักษาสภาวะสิ่งแวดล้อม  เป็นต้น
ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ นั้น  ลักษณะการดำเนินความสัมพันธ์ทั้ง 4 ด้านดังกล่าวไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาในลักษณะของความร่วมมือแต่อาจจะออกมาในลักษณะของความขัดแย้งกันก็ได้  สำหรับการดำเนินความสัมพันธ์กับบางประเทศในบางช่วงเวลาอาจจะมีการดำเนินความสัมพันธ์ไม่ครอบคลุมทั้ง 4 ด้านดังกล่าวข้างต้นก็ได้   หรือในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศบางประเทศ ไทยอาจจะมีความสัมพันธ์ในเชิงความร่วมมือในความสัมพันธ์ด้านใดด้านหนึ่ง  แต่อาจมีความสัมพันธ์ในเชิงความขัดแย้งในความสัมพันธ์ทางด้านอื่นๆ ก็ได้  ความสัมพันธ์ที่ไทยมีต่อประเทศใดประเทศหนึ่งในแต่ละด้านอาจมีระดับความเข้มข้น  หรือระดับความใกล้ชิดหรือห่างเหินต่างกันก็ได้


 ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์และคณะ. ชุดวิชา: 80308 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับต่างประเทศ ครั้งที่/ปีที่พิมพ์: 10/2556
วิวัฒนาการของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
วิวัฒนาการของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะเป็นวิชาการเริ่มต้นในช่วงก่อนมหา สงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) และมีวิวัฒนาการโดยแบ่งออกเป็น 4 ช่วง โดยการ พิจารณาประเด็นหลัก ๆ ได้แก่ 1) การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์การทูต 2) การพิจารณาเชิง เหตุการณ์ปัจจุบัน 3) กฎหมายระหว่างประเทศ และ 4) การเมืองระหว่างประเทศ ช่วงเวลาที่หนึ่ง : ประวัติศาสตร์การทูต ในช่วงนี้มีการศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ของทางการทูต มีข้อเขียนในเรื่องนี้มากในประเทศอังกฤษ โดยเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษมาแล้ว ตัวอย่าง ได้แก่ การศึกษานโยบายต่างประเทศของอังกฤษ โดยรัฐบุรุษและนักการทูตสําคัญ ๆ เช่น พาลเมอร์สตั้น (Palmerston) และแคนน ิ่ ง (Canning) ให้ความสําคัญกับความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ตามวิธีการค้นคว้าทาง ประวัติศาสตร์ ไม่มีการตั้งข้อสังเกตแบบทั ่ว ๆ ไป (generalization) ในช่วงนี้เป็นความ พยายามที่จะพูดถึงเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศโดยปราศจากทฤษฎี ดังนั้น จึง กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่บรรยายหรือพรรณนาเหตุการณ์ในอดีตช่วงแรกที่ครอบคลุมระยะเวลา ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย จัดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่นัก ประวัติศาสตร์มีบทบาทในวิทยาการที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ช่วงเวลาที่สอง : เน้นเหตุการณ์ เป็นช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น ให้ความสําคัญกับหนังสือพิมพ์หรือวารสารข่าวไม่ได้คํานึง ถึงการ ลําดับเหตุการณ์จากอดีตและทําให้ผู้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นผู้ที่ สนับสนุนกฎเกณฑ์หรือระเบียบการเกี่ยวกับการต่างประเทศตามความคิดเห็นของตน ตัวอย่าง คือ การอภิปรายโดยไม่ศึกษาวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งในเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องการค้าเสรีการ ปฏิรูประบบการเงินนานาชาติหรือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์การระหว่างประเทศ ไม่มีความพยายามเปรียบเทียบประเด็นปญหา ผู้ที่เขียนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ั ประเทศในช่วงนี้ ได้แก่ อดีตประธานาธิบดีวูดโร วิลสัน อเมริกันซึ่งต่อต้านการพิจารณา เหตุการณ์ทางการทูตในอดีต เช่น คองเกรสแห่งเวียนนา (Congress of Vienna) ซึ่งฝาย่ อังกฤษเสนอในการประชุมใหญ่เพื่อสันติภาพ ณ กรุงปารีส 454 PS 103 อาจสรุปแนวเหตุการณ์ปจจุบันนี้ คือ ั ประการแรก เป็นเรื่องของการพิจารณาวันต่อ วันในการแก้ไขปญหาของโลก ั ประการที่ 2 ขาดวิธีการศึกษาและวินิจฉัยเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง ดังนั้น จึงมีการพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเรื่อง พื้น ๆ เช่น กีฬา โอลิมปิกส์ที่เอเธนส์ 2004 หรือการเคลื่อนไหวทางการทูตของสหรัฐอเมริกา เพื่อหาพันธมิตร หรือองค์การสหประชาชาติ ในการช่วยดูแลอิรัคหลังการมอบคืนอํานาจให้แก่อิรัคในวันที่ 28 มิถุนายน 2547 ช่วงที่สาม : เน้นหนักทางกฎหมาย ช่วงที่ 3 นี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับช่วงที่ 2 ได้ให้ ความสนใจเป็นพิเศษในการเมืองระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ จุดหมายคือเพื่อ ค้นหาเป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของสังคมนานาชาติว่ามีแนวโน้มไปในทางใด และพยายาม หาทางปรับปรุงแก้ไขสถาบันต่าง ๆ เท่าที่มีอยู่หรือก่อให้ เกิดมีเพื่อจะบรรลุเป้ าหมาย นักวิชาการทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีสภาพคล้ายกับเป็นนักปฏิรูปสังคม การเมือง เช่น การสถาปนาสันนิบาตชาติ(League of Nations) ลักษณะเด่น ๆ ของช่วงนี้ ได้แก่ 1) เป็นช่วงที่มีการเล็งผลเลิศว่าโลกจะก้าวไปสู่ความผาสุกภายใต้กฎเกณฑ์ นานาชาติและองค์การระหว่างประเทศ 2) นักวิชาการมีความชํานาญในทางกฎหมาย ระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ 3) มีแนวโน้มที่จะออกความเห็นในเชิงชื่นชมหรือ ตําหนิการกระทําหรือเหตุการณ์นานาชาติโดยไม่คํานึงถึงสภาพการณ์ของประเทศต่าง ๆ ช่วงเวลาที่สี่ : แนวการเมืองระหว่างประเทศ เกิดขึ้นในช่วงหลังมหาสงครามโลก ครั้งที่ 2 ศึกษาประเด็นและเหตุการณ์ต่าง ๆ ใน โลกที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัย แต่ไม่มีการแสดง ทัศนคติในทางบวกหรือทางลบต่อสิ่งนั้น ๆ ลดความสนใจลงในเรื่องของโครงสร้างและการ จัดองค์การในรูปแบบของสังคมนานาชาติ แต่สนใจเรื่องพลังและลักษณะต่าง ๆ อันมีบทบาทต่อ พฤติกรรมของรัฐประชาชาติ และศึกษาแนวโน้มนโยบายต่างประเทศของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งรูปแบบและวิธีการ เมื่อศึกษาองค์การนานาชาติ เช่น สหประชาชาติ จึงศึกษาโดย พิจารณาว่าเป็นผลจากแรงผลักดันและการเรียกร้องต่าง ๆ ของหลายชาติที่เป็นสมาชิก เมื่อศึกษาเกี่ยวกับชาติที่เป็นสมาชิก ย่อมต้องให้ความสําคัญกับประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ทั้งนี้โดยศึกษานโยบายของประเทศนั้น ๆ ในช่วงนี้มีความเกี่ยวข้องระหว่าง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กับวิชารัฐศาสตร์ โดยตรง ทั้งนี้เพราะรัฐศาสตร์ถือว่าการเมืองเป็นเรื่องการแข่งขันกันระหว่างกลุ่มและบุคคล เมื่อกลายเป็นการเมืองระหว่างประเทศกลุ่มและบุคคลก็ขยายขอบเขตกลายเป็นหน่วยระดับที่ ใหญ่กว่า คือ ระดับรัฐประชาชาติอนึ่ง มีการศึกษา “การเชื่อมกัน” (linkage) ระหว่างเรื่อง PS 103 455 ภายในประเทศกับการเมืองระหว่างประเทศ ดังที่ศาสตราจารย์โรสเนา (Rosenau) เรียกว่า “การเมืองเรื่องเชื่อมกัน” (linkage politics)

รศ.ดร.สุรพล ราชภัณฑารักษ์ ,ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ,มหาวิทยาลัยรามคำแหง
นโยบายต่างประเทศของไทย

นโยบายต่างประเทศของไทยนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่านโยบายของประเทศไทยจะมีส่วนหนึ่งเป็นนโยบายหลัก ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นโยบายอีกส่วนหนึ่งเป็นการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์เฉพาะชาติ ซึ่งการดำเนินงานในประการหลังนี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนสภาพการณ์ให้มีความยืดหยุ่นตามสภาพแวดล้อม เมื่อสู้ไม่ได้ก็ยอมผ่อนตามไป รู้กำลังของตนเองและฝ่ายตรงข้าม พยายามในการรักษาเกียรติ และอธิปไตยของชาติ ต้องวิเคราะห์นโยบายของชาติอื่นๆ ให้ออกประเทศไทยไม่ได้นำเอานโยบายของประเทศใดๆมาใช้โดยเฉพาะ แต่มีนโยบายของชาติอื่นๆให้ออกประเทศไทยไม่ได้นำเอานโยบายของประเทศใดๆมาใช้โดยเฉพาะ แต่มีนโยบายเป็นของตัวเอง มีการดำเนินการในหลายรูปแบบขึ้นกับเวลา สถานการณ์ และความเหมาะสมในขณะนั้นๆยึดมั่นและเคารพในพันธกรณีระหว่างประเทศ และพร้อมที่จะปฏิบัติตามด้วยดีมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

กรอบกว้างๆของนโยบายต่างประเทศของไทยในปัจจุบัน คือ มีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศมุ่งการเสริมสร้างความสัมพันธ์และร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาเซียน ใช้นโยบาย Forward Engagement กับประเทศเอเชียโดยส่งเสริมโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศด้วยกัน มุ่งเน้นการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ในเรื่องการค้าต่างตอบแทน การเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับทุกประเทศ การดำเนินนโยบายทางการทูตโดยสันติวิธี การใช้หลักกฎบัตรระหว่างประเทศกับสหประชาชาติ ความมั่นคงภายในประเทศและตามแนวชายแดน และการอยู่รอดปลอดภัยจากการก่อการร้าย


ขอบคุณข้อมูลจากเวปไซด์กระทรวงการต่างประเทศ